เคล็ดลับเลือกกันแดดให้ปัง! Mineral vs Chemical ตัวไหนใช่ ตัวไหนโดนใจลูกค้า?

เคยไหมที่ลูกค้าถามว่า "กันแดดตัวนี้ใช้ดีไหมคะ? มันเป็น Mineral หรือ Chemical?" บทความนี้จะช่วยให้คุณไขข้อสงสัย และเลือกกันแดดที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้แบบมือโปร!

สวัสดีค่ะทุกคน! ในฐานะที่เราคลุกคลีอยู่ในวงการบิวตี้มาพักใหญ่ สิ่งหนึ่งที่ได้ยินบ่อยมากๆ เวลาพูดถึงผลิตภัณฑ์กันแดดก็คือคำถามเรื่อง “Mineral” กับ “Chemical” ใช่ไหมคะ? มันก็เป็นเรื่องปกติแหละ เพราะสองคำนี้เป็นเหมือนโลกคนละใบของสารกันแดด ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกันไป ซึ่งในฐานะที่เรากำลังมองหา โรงงานผลิตครีม เพื่อสร้างแบรนด์กันแดดเป็นของตัวเอง หรืออยากจะปรับปรุงสูตรที่มีอยู่เดิม การเข้าใจความแตกต่างของสารกันแดดสองประเภทนี้อย่างลึกซึ้งเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เลยนะ เพราะมันจะส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสูตรของเรา และแน่นอนว่ามันจะส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าเราด้วย

 

มาทำความรู้จักกับ “กันแดด Mineral” กันก่อน!

กันแดด Mineral หรือที่บางคนเรียกว่ากันแดดกายภาพ (Physical Sunscreen) ทำงานโดยการสร้างเกราะป้องกันบนผิวหนังของเราค่ะ สารออกฤทธิ์หลักๆ ที่เราจะเจอในกลุ่มนี้ก็คือ Zinc Oxide และ Titanium Dioxide สารสองตัวนี้จะทำหน้าที่เหมือนกระจกเงาเล็กๆ สะท้อนรังสี UV จากแสงแดดออกไปจากผิวของเรา ไม่ให้แทรกซึมลงไปทำร้ายเซลล์ผิวได้

จุดเด่นของกันแดด Mineral ที่ไม่ควรมองข้าม :
  • อ่อนโยนต่อผิวแพ้ง่าย: นี่คือจุดแข็งที่ทำให้กันแดด Mineral ได้ใจคนผิวแพ้ง่ายไปเต็มๆ ค่ะ เพราะมันทำงานอยู่บนชั้นผิว ไม่ซึมเข้าสู่ผิว ทำให้ลดโอกาสการระคายเคือง ผดผื่น หรืออาการแพ้ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง ผิวเป็นสิว หรือแม้แต่เด็กเล็ก

  • ออกฤทธิ์ทันทีหลังทา: ไม่ต้องรอให้สารกันแดดซึมเข้าสู่ผิว ทาปุ๊บก็พร้อมออกแดดได้เลยทันทีค่ะ เพราะมันทำหน้าที่สะท้อนแสงออกไปทันที

  • ปกป้องรังสี UVA และ UVB ได้ครอบคลุม: ทั้ง Zinc Oxide และ Titanium Dioxide เป็น Broad-spectrum Sunscreen ที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA (ที่ทำให้เกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ) และ UVB (ที่ทำให้ผิวไหม้แดด) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันง่าย: สำหรับคนเป็นสิว ผิวมัน นี่คือข้อดีที่สำคัญเลยค่ะ เพราะส่วนใหญ่กันแดด Mineral มักจะมีความเบาบาง ไม่อุดตันรูขุมขนเท่ากับบางสูตรของกันแดด Chemical
แล้วข้อด้อยของกันแดด Mineral ล่ะ มีอะไรบ้าง?
  • เนื้อสัมผัสอาจขาววอก: ปัญหาโลกแตกของกันแดด Mineral เลยก็คือเรื่องของ "White Cast" หรือการทาแล้วหน้าขาววอก ลอยกว่าสีผิวจริง ยิ่งถ้าทาเยอะก็ยิ่งเห็นชัด แต่เดี๋ยวนี้ โรงงานผลิตครีม หลายแห่งก็พัฒนาเทคโนโลยี Micro-fine หรือ Nano-particle เพื่อลดปัญหาตรงนี้แล้วนะคะ ทำให้เนื้อกันแดดเกลี่ยง่ายขึ้น และไม่ทิ้งคราบขาวมากเท่าเมื่อก่อน

  • อาจรู้สึกหนักหน้า: แม้ว่าจะมีการพัฒนาเนื้อสัมผัสให้ดีขึ้น แต่บางสูตรก็อาจยังรู้สึกหนักหน้า หรือทาแล้วไม่สบายผิวเท่าที่ควร โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อนชื้น

  • ล้างออกยากกว่า: ด้วยความที่มันสร้างชั้นฟิล์มอยู่บนผิว การล้างทำความสะอาดอาจต้องพิถีพิถันกว่ากันแดด Chemical เล็กน้อย เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารตกค้างบนผิว

 

มาต่อกันที่ “กันแดด Chemical” กันบ้าง!

กันแดด Chemical หรือที่เรียกว่ากันแดดเคมี (Organic Sunscreen) จะทำงานต่างจาก Mineral โดยสิ้นเชิงค่ะ สารเคมีในกันแดดกลุ่มนี้จะซึมซับรังสี UV เข้าไปในผิวของเรา แล้วเปลี่ยนพลังงานแสงเหล่านั้นให้เป็นพลังงานความร้อนที่ไม่มีอันตราย แล้วปล่อยออกมาจากผิว สารออกฤทธิ์ที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่น Oxybenzone, Avobenzone, Octinoxate, Octisalate เป็นต้น

จุดเด่นของกันแดด Chemical ที่น่าสนใจ :
  • เนื้อสัมผัสบางเบา เกลี่ยง่าย: นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญของกันแดด Chemical เลยค่ะ เพราะส่วนใหญ่เนื้อจะบางเบา ซึมซาบเร็ว ไม่ทิ้งคราบขาว ไม่รู้สึกหนักหน้า เหมาะสำหรับคนที่ชอบความรู้สึกสบายผิว และทาก่อนแต่งหน้าได้อย่างไร้กังวล

  • ไม่ทิ้งคราบขาว (No White Cast): แทบจะไม่มีปัญหาเรื่องหน้าวอกเลยค่ะ เพราะสารเคมีจะซึมซาบเข้าสู่ผิว

  • เหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน: ด้วยเนื้อสัมผัสที่สบายผิว ทำให้กันแดด Chemical เป็นที่นิยมใช้ในชีวิตประจำวันมากๆ ไม่ว่าจะแต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้าก็รู้สึกเบาสบาย

  • พัฒนาสูตรได้หลากหลาย: โรงงานผลิตครีม สามารถพัฒนาสูตรกันแดด Chemical ได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบเจล เซรั่ม สเปรย์ หรือแบบน้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น
แล้วข้อด้อยของกันแดด Chemical ล่ะ มีอะไรที่ต้องระวังบ้าง?
  • อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง: สารเคมีบางชนิดในกันแดด Chemical อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผื่นแดง หรืออาการแพ้ได้ในบางคน โดยเฉพาะคนที่มีผิวแพ้ง่ายมากๆ หรือมีประวัติการแพ้สารเคมี

  • ต้องรอให้ซึมเข้าสู่ผิว: กันแดด Chemical จะต้องใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีหลังทา เพื่อให้สารเคมีซึมเข้าสู่ผิวและออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ ไม่สามารถออกแดดได้ทันทีเหมือนกันแดด Mineral

  • บางสารอาจไม่เสถียรเมื่อโดนแดด: สารเคมีบางตัวอาจเสื่อมประสิทธิภาพลงเมื่อโดนแสงแดดเป็นเวลานาน ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันลดลง

  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากในช่วงหลังๆ โดยเฉพาะสาร Oxybenzone และ Octinoxate ที่มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าอาจส่งผลเสียต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตในทะเล ทำให้หลายประเทศเริ่มแบนสารกลุ่มนี้แล้วค่ะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราควรนำมาพิจารณาตอนเลือกโรงงานผลิตครีมและเลือกสารกันแดดนะคะ

แล้วเราควรเลือกกันแดดแบบไหนดีล่ะ? แนวทางการเลือกสารกันแดดที่ใช่สำหรับแบรนด์เรา!

หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของกันแดดทั้งสองประเภทแล้ว คราวนี้มาถึงคำถามสำคัญที่ว่า "แล้วเราควรเลือกกันแดดแบบไหนสำหรับแบรนด์ของเราล่ะ?" คำตอบไม่ได้มีตายตัวหรอกค่ะ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเลย

1. เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของเรา
  • ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราคือคนผิวแพ้ง่าย สิวขึ้นง่าย หรือคุณแม่ที่มีลูกเล็กๆ: กันแดด Mineral อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะอ่อนโยนและปลอดภัยกว่า
  • ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราชอบความบางเบา ไม่ทิ้งคราบขาว ใช้ได้ทุกวัน: กันแดด Chemical หรือ Hybrid (ที่ผสมทั้ง Mineral และ Chemical) อาจตอบโจทย์มากกว่า
  • ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นสายรักธรรมชาติ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม: อาจต้องเลือกกันแดด Mineral ที่เป็น Reef-safe หรือกันแดด Chemical ที่ปราศจากสารที่ทำลายปะการัง
2. พิจารณาเทรนด์และส่วนผสมที่ลูกค้าถามหา

ในปัจจุบันนี้ ลูกค้าไม่ได้มองหาแค่การป้องกันแสงแดดเท่านั้น แต่ยังมองหาคุณสมบัติเพิ่มเติมด้วยค่ะ เช่น:

  • สารบำรุงผิว: กันแดดที่ผสมสารบำรุงผิว เช่น Hyaluronic Acid, Niacinamide, Vitamin C หรือสารสกัดจากพืชต่างๆ กำลังเป็นที่นิยม เพราะช่วยบำรุงผิวไปในตัว
  • ปกป้องแสงสีฟ้า (Blue Light Protection): ด้วยไลฟ์สไตล์ที่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือมากขึ้น ทำให้ลูกค้าเริ่มมองหากันแดดที่ป้องกันแสงสีฟ้าได้ด้วย
  • ปกป้องมลภาวะ (Anti-Pollution): การปกป้องผิวจากฝุ่น PM 2.5 และมลภาวะต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจ
  • สูตรกันน้ำ กันเหงื่อ (Water-resistant/Sweat-proof): สำหรับคนที่ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง
  • เนื้อสัมผัสที่ดี: ไม่ว่าจะ Mineral หรือ Chemical เนื้อสัมผัสที่ดี ซึมง่าย ไม่เหนอะหนะ ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
  • Reef-safe: กันแดดที่ไม่ทำร้ายปะการัง กำลังมาแรงมากๆ ในกลุ่มคนที่รักทะเลและสิ่งแวดล้อม
3. ปรึกษาโรงงานผลิตครีมที่เชี่ยวชาญ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษา โรงงานผลิตครีมที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับสารกันแดดที่เหมาะสม เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และการพัฒนาสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ดีที่สุดค่ะ อย่าลืมปรึกษาเรื่องต้นทุนการผลิต การเลือกวัตถุดิบ และการทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ด้วยนะคะ

 

สรุปง่ายๆ ก็คือ การเลือกกันแดดให้แบรนด์ของเรา ไม่ใช่แค่การเลือกสารกันแดด Mineral หรือ Chemical เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานความเข้าใจในเรื่องของวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ความต้องการของตลาด และแนวคิดในการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งเข้าไว้ด้วยกันค่ะ การปรึกษาโรงงานผลิตครีมที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และสร้างผลิตภัณฑ์กันแดดที่ลูกค้าถามหาได้อย่างแน่นอน!

ติดต่อผลิตครีม/สอบถามเพิ่มเติม

  • Line ID
    @i.c.laboratories
  • ที่ตั้งโรงงาน
    444 หมู่1 ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ
    จ.สมุทรปราการ 10270
  • ที่ตั้งออฟฟิศ
    239/44-45 ม.5 ต.บางเมือง อ.เมืองสมุทรปราการ
    จ.สมุทรปราการ 10270